วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คาบแรก - - 9/11/10

      นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่หนูได้เริ่มเขียนบล๊อก ขอขอบคุณอาจารย์ปีเตอร์ รักธรรมนะคะที่ได้สอนให้หนูได้เริ่มเรียนรู้โลกของเทคโนโลยี ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว (เพราะเราคงต้องเขียนบล๊ิอกส่งการบ้าน อ.ไปอีกนาน เลิศจริงๆ :D ) สมกับบทเรียนวันนี้ที่อ.สอนจริงๆๆ
      หากสังเกตตัวเองดีๆแล้ว ทุกวันนี้ มนุษย์เราได้เริ่มเปลี่ยนการสื่อสารจากการพูด มาเป็นการพิมพ์แทน จากเคยขอ MSN ไว้คุยกัน จนตอนนี้มาขอ facebook twitter แทนกันแล้ว นี่ยังไม่รวมการเปลี่ยนแปลงจากการอ่านหนังสือทางหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารในห้องน้ำ (ตัวอย่างของ อ.ที่ผู้ชายมักเป็น :P) มาเป็นการอ่านผ่าน Ipad หรือเครื่องเ่ล่น Tablet ต่างๆอีก (สุนทรียะในการเข้าห้องน้ำจะต่างกันไหมคะ น่าคิด !!)
      นอกจากมนุษย์คนเดินดินอย่างเราแล้ว เหล่าบริษัทก็ต่างกันมาดอมดม ใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีกันอย่างคับคั่ง หรือที่เรียกกันว่ายุค Digital economy เพราะธุรกิจต่างประยุกต์ใช้เทคโนโลยี(IT)เพื่อช่วยให้ง่ายต่อการจัดระบบข้อมูล เพื่มความคล่องตัวต่างๆ อย่างเช่น ระบบข้อมูลคนไข้ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นตัน นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ (IS) โดยอาศัยข้อมูล มาเพื่อวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ทั้ง IS และ IT ต่างก็เป็นเครื่องมือที่คอยสนับสนุนทุกฝ่ายในองค์กร ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในธุรกิจ 
      ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น E-bay ขายของผ่านอินเตอร์เน็ต ใช้ง่าย เห็นผล อ.บอกว่า เพื่อนของอ.ทำเป็นอาชีพเสริมเลย โดยการไปหาของแถวคลองถม ถ่ายรูป แล้วก็ขาย โอ๊ย ขายดี ฝรั่งชอบ หนูเลยอยากทำบ้างเลยค่ะ -*-
      หรือจะเป็นธุรกิจดาว์นโหลดเพลง จากค่ายเพลงตามช่องละครหลังข่าว Application หรือที่เค้าเรียกว่า ลูกเล่นต่างๆ เช่น Itune จากค่าย APPLE ที่เอาไว้โหลดเพลงอีกเหมือนกัน (สงสัย อ.จะชอบฟังเพลงนะคะ มีแต่ตัวอย่างเพลง เอ๊ะ หรือหนูจำได้แค่ เพลง :D)
      อ่านมาเยอะ ฟังแล้วดูเหมือนจะดี แต่สำหรับธุรกิจเอง จะวัดมูลค่าที่เราได้รับกลับมาจากการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีนี้ได้อย่างไรหรือที่ศัพท์เด็กไฟแนนซ์เค้าคุยกันว่า ROI คุณจะเท่าไหร่จ๊ะ (อ.ไม่ได้บอกคำตอบ บอกแค่ว่ามันเป็นปัญหา T^T ขอหนูลองคิดเล่นๆ แล้วกันนะคะ)
     หนูคิดว่า การลงทุนด้านเทคโนโลยี เปรียบเสมือนการลงทุนด้านความคิด อาจจะคล้ายกับ R&D มันอาจจะมีการลองผิดลองถูก ซึ่งคงไม่ได้วัดด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดเหมือนกับการลงทุนงบโฆษณาที่มีตัวเลขเลยทีเดียว พอจะเป็นไปได้หรือไม่คะว่า หากเราจะวัดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานก่อน/หลังใช้ระบบเทคโนโลยี วัด waste time ที่พนักงานสูญเสียไป หากเราไม่ีมีระบบนี้มาใช้ วัดความสามารถในการออกแบบ New Product เมื่อเทียบกับจำนวนชั่วโมงอินเตอร์เนตที่พนักงานใช้ (อื้อ !!! น่าคิด แต่อันหลังหนูว่า พนักงานอาจจะเอาเวลาไปเล่น FB ก็ได้นะคะ แล้วเอามาเป็นไอเดียในการออกแบบผลิตสินค้าก็เป็นได้นะคะ :D)
      อย่างไรก็แล้วแต่นะคะ ทุกวันนี้โลกก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป ธุรกิจบางรายนำเทคโนโลยีมาใช้ที่ไม่ประสบความสำเร็จก็มี ซึ่งก็อาจจะมาจากหลากหลายปัญหา แต่อย่างไรเสีย สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่ผลกำไรเท่านั้น แต่ธุรกิจควรมองถึงการตอบแทนแก่สังคมด้วย คงจะดีนะคะ ถ้าหากธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวมมากขึ้น
     จากที่หนูเขียนมา มันอาจจะเป็นเพียงส่วนย่อยๆ ของความรู้ในวันนี้ ถามถึงเนื้อหาสาระ....หนูคงมีอยู่น้อยนิด จนไม่สามารถเขียนอธิบายพรรณาได้หมดค่ะ แต่หนูก็ได้กลายเป็น blogger ป้ายแดงกับเค้าแล้ว จริงๆ เป็นความฝันเบาๆๆ ของหนูนะคะ กลายเป็นจริงแล้ว สุดยอดค่ะ อ.ปีเตอร์ ขอกด like เลย
     ไว้เจอกันใหม่ การบ้านหน้าของอ.นะคะ สวัสดีค่ะ :D

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น